การเรียน BOU ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก


การเรียน BOU ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก การเรียนในมหาวิทยาลัย BOU สหรัฐอเมริกา มีคำแนะนำแนวทางดังนี้

ก.หลักคิดของโพธิศาสตร์
 1. ปริญญาของ BOU ไม่ใช่เพื่อการไปสมัครงาน แต่เป็นปริญญาที่ยืนยันหรือรับรองความสำเร็จของผู้เรียน แสดงถึงคุณค่าและความเป็นศักดิ์ศรีของผู้เรียน นี่เป็นแนวโน้มของโลกยุคใหม่ ที่ไม่ได้ยึดกระดาษ 1 ใบ แต่ยึดเอาทักษะ ความรู้และความสามารถของคนเป็นด้านหลัก

2. มหาวิทยาลัยยุคเก่า และการศึกษายุคเก่าเริ่มจะล้าสมัย หรือจะตายไปจากโลกนี้ เหมือนเครื่องพิมพ์ดีด เหมือนเกวียน เหมือนรถม้า เป็นต้น แต่การศึกษายุคใหม่ มุ่งสร้างผู้ประกอบการ สร้างให้คนเป็นมีอาชีพ มีรายได้ให้กับตนเอง เป็นอิสระ หากท่านใดต้องการเป็นลูกจ้าง สามารถเรียนได้จากสถาบันต่างๆ ในประเทศหรือต่างประเทศ ซึ่งมีมากมายเต็มไปหมด

3. การเรียนของ BOU ทั้งในระดับปริญญาตรี โท หรือ เอก เริ่มต้นจากความสำเร็จแล้ว หรือความปรารถนาจะทำให้สำเร็จ เมื่อประสบความสำเร็จ จึงจะมาเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ จากนั้นจึงมาขอรับการประเมิน เพื่อจบการศึกษา ต่างจากสถาบันการศึกษาในปัจจุบัน คือเรียนให้จบก่อน เมื่อได้ปริญญาแล้ว จึงไปลงทำ หรือลงมือสร้างความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น จึงเรียนเพื่อไปหางาน หรือเรียนเพื่อไปตกงานก่อน

ข. แนวทางการเรียนระดับปริญญาโท หรือปริญญา หรืออาจจะเรียกว่าหลักสูตรระดับปริญญาโท เอก

ข.1 ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว
1. ผู้ที่จะมาเรียนระดับปริญญาโท เอก ต้องมีผลงานความสำเร็จแล้ว จากงานที่ทำ หรือจากอาชีพของตัวเอง หรือจากความเชี่ยวชาญของตนเอง หากชีวิตไม่มีความสำเร็จ ไม่มีงานทำ ไม่มีความภูมิใจใดๆ ควรจะไปอ่านที่ข.2

2. เมื่อเราสมัครเรียนแล้ว ท่านต้องเสนอนำข้อวิทยานิพนธ์ (ป โท) หรือ ดุษฎีนิพนธ์ (ป เอก) ต่ออาจารย์หรือที่ปรึกษาของ BOU หรืออาจจะมีการประชุมแลกเปลี่ยนเพื่อตั้งหัวข้อของตนเอง ที่เรียกว่า การสอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ หรือดุษฎีนิพนธ์

3. จากนั้น อาจารย์หรือที่ปรึกษา จะเริ่มแนะนำการเขียนวิทยานิพนธ์หรือดุษฎีนิพนธ์ หรือมี 3 บท ให้นักศึกษาเข้าใจ หรือการเขียนทีละบท หรือทีละขั้นตอน

4. นักศึกษาพึงเข้าใจว่า BOU จะไม่มีการเรียนเนื้อหาวิชา แต่จะเรียนรู้เรื่องวิธีการเขียน ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เนื้อหาวิชาท่านทำจนสำเร็จแล้ว เรียนรู้ลงมือทำมานานหลายปีแล้ว จนร่ำรวยหรือรุ่งเรืองในชีวิต ดังนั้น จึงไม่ได้เรียนเนื้อหา แต่เรียนวิธีการเขียน การเรียนแบบนี้ สถาบันการศึกษาเรียกว่า รีเสิช โปรแกรม Research Program หรือโปรแกรมวิจัย หรือบางทีเรียกว่า หลักสูตร ประเภท ก แต่ถ้าหลักสูตรต้องไปนั่งเรียนรายวิชา เขาเรียกว่า โปรแกรมชั้นเรียน คือเรียนทีละวิชาจนจบหลักสูตร จากนั้น จึงไปเขียนวิจัย

5. ยกตัวอย่าง นศ.ของเราทำร้านขายสินค้ากัญชา จนประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง เขาไม่ต้องมานั่งเรียนเรื่องกัญชา ไม่ต้องมาเรียนกัญชาคืออะไร ผลิตสินค้าอะไร ขายอย่างไร จัดการอย่างไร เป็นต้น แต่เขาไปเขียนวิทยานิพนธ์ หรือดุษฎีนิพนธ์เลย หรือ นศ.บางคน อาจจะประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจ เขาไม่ต้องเรียนเนื้อหาการบริหารธุรกิจ เช่น ไม่ต้องเรียน ธุรกิจคืออะไร การบริหารคืออะไร จัดการธุรกิจอย่างไร ขายของอย่างไร การจัดการตลาดอย่างไร แต่เขามาเขียนวิทยานิพนธ์ หรือดุษฎีนิพนธ์เลย เป็นต้น อย่างนี้ เขาเรียกว่า ไม่เรียนเนื้อหา แต่ไปเรียนวิธีการ หรือเรียนการวิจัยเลย การเรียนวิจัยแบบนี้ มีสมมติฐานว่า นักศึกษาเก่งแล้ว นักศึกษาไม่ได้โง่ เขาเก่ง เขาจึงประสบความสำเร็จในชีวิต จึงทำมาให้กินได้ (หากนักศึกษาคิดว่า ตัวเองโง่ โปรดไปอ่านข้อ ข.2)

6. การเรียนแบบนี้ หรือการเรียนหลักสูตรแบบนี้ (ตามที่บางคนถามมา) มีแนวทางการเรียนดังนี้

6.1 ครั้งที่ 1 นศ. ควรได้รับการปฐมนิเทศเสียก่อน เพื่อให้เข้าใจปรัชญา แนวคิดของมหาวิทยาลัย จะได้ไม่คาดหวังอะไรผิดๆ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการร้องเรียน โวยวาย ป่วนมหาวิทยาลัยทีหลัง

6.2 ครั้งที่ 2 นศ. นำเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ หรือดุษฎีนิพนธ์ หรือการสอบหัวข้อ หรือการสอบป้องกันหัวข้อของตนเอง โดยอาจารย์ทีปรึกษาจะสอนวิธีการตั้งหัวข้อที่ดีไปพร้อมกัน

6.3 ครั้งที่ 3 นศ.จะเสนอบทที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นมา ความสำคัญ แนวคิดทฤษฎี ตามหัวข้อที่ตั้ง เช่น จะเขียนเรื่องกัญชา ต้องไปหาข้อมูลมานำเสนอว่า กัญชาคืออะไร เป็นอย่างไร แบบไหน จะเสนอหัวข้อการบริหารธุรกิจ ต้องไปหาข้อมูล ธุรกิจคืออะไร การบริหารคืออะไร เป็นต้น ระหว่างที่ นศ.ค้นคว้ามานำเสนอ อาจารย์ที่ปรึกษา จะอธิบายแนะนำไปด้วย รวมประมาณ 10 หน้ากระดาษ

6.4 ครั้งที่ 4 นศ.จะเสนอบทที่ 2 การเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งว่าด้วยเรื่องราว ผลงาน ความสำเร็จของเรา หรืองานที่เรา ประมาณ 30 หน้ากระดาษ นศ.ทำอะไร ทำอย่างไร ทำแบบไหน ผลเป็นอย่างไร พร้อมภาพประกอบ ต้องให้คนอ่านเขาอ่านแล้ว รู้เรื่องของเราทั้งหมด อย่างเป็นระบบ ระเบียบ

6.5 ครั้งที่ 5 นศ.นำเสนอบทที่ 3 เป็นบทสุดท้าย

พึงทราบว่า ไม่ว่าจะปริญญาโท ปริญญาเอก BOU จะให้ นศ.เขียนเพียง 3 บท บทที่ 3 เป็นบทสรุป หรือ ป โท เรียกว่า การวิเคราะห์ข้อมูล ป เอก เรียกว่า สังเคราะห์ข้อมูล ประมาณ 3-5 หน้ากระดาษ การวิเคราะห์ข้อมูล ป โท คือเขียนว่า ปัจจัยความสำเร็จตามหัวข้อวิจัย ตามบทที่ 2 มีกี่ข้ออะไรบ้าง การสังเคราะห์ข้อมูล ป เอก คือเขียนว่า งานที่ทำจนสำเร็จ ตามบทที่ 2 มีกี่ข้ออะไรบ้าง

7. BOU ไม่มีความต้องการให้ นศ.ไปค้นคว้างานวิจัยของคนอื่น เพราะมหาวิทยาลัยถือว่า นศ.เป็นคนบุกเบิก ริเริ่มใหม่ ไม่ต้องไปอ้างใคร แต่ต่อไปนี้ ทุกคนต้องเอาผลงานเราไปอ้างอิง ข.1 ผู้ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะเป็นคนที่เพิ่งจบ ป ตรี มา หรือเพิ่งจบ ป โท จากสถาบันการศึกษากระแสหลัก เรียนจบก็ทำอะไรไม่เป็น เรียนจบมาก็ตกงาน หรือคนที่ชีวิตล่องลอยไปมา หาอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ สำหรับคนกลุ่มนี้
1. ลงทะเบียนเรียน ให้ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาว่า สนใจจะสร้างชีวิตของตนเอง สนใจจะทำมาหากินอะไร อย่างไร ขั้นตอนนี้ นศ.จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญสิ่งที่ นศ.สนใจ อย่างน้อย 1 คน
2. เมื่อได้คำตอบหรือตัดสินใจตามข้อ 1 ได้แล้ว ให้ไปลงมือทำจริง โดยการทำแผนงาน ทำแผนธุรกิจของตนเอง ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา
3. จากนั้น นศ.จะเริ่มลงมือทำ ลงมือประกอบอาชีพ หรือปฏิบัติการ โดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ภาคเรียน ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด
4. เมื่อครบ 4 เดือน หรือประมาณ 1 ภาคเรียนแล้ว หากผลงานยังไม่ดีพอ หรือไม่น่าพอใจ ให้ทำต่อไปอีก 1 ภาคเรียน เมื่อพอใจแล้ว จึงเริ่มเขียนผลงาน ตามข้อ ข.1 หากผลงานยังไม่น่าพอใจ ไม่สำเร็จ อาจจะต้องทำงานต่ออีก เป็นภาคเรียนที่ 3 หรือปีที่ 2 เป็นต้น

จะเห็นว่า BOU สนใจผลงาน สนใจความสำเร็จ และสนใจการลงมือทำ ไม่ได้สนใจเขาชั้น ท่องจำ ทำข้อสอบ นศ.

สงสัยเรื่องใดๆ โปรดสอบถามได้ หรือโทร 0814545265 ดร.ศักดิ์ ประสานดี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์ สหรัฐอเมริกา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การประเมินผลงานของนักศึกษาปริญญาโท และปริญญาเอก

ศูนย์โพธิศาสตร์ด่านเกวียน